000
ปรึกษาเครื่องเสียง อจ. ไมตรี โทร 099-569-6459    
 
บอร์ดพูดคุย, ซื้อ-ขายเครื่องเสียง
>> audio-teams.com
>> noom-hifi.com
>> wijitboonchoo.com
>> hifi55.com  
>> sk-audiophile.com
>> htg2.net
นิตยสารเครื่องเสียง
>> what Hi-Fi? Thailand
>> The Wave
>> Audiophile-Videophile
>> gm2000.com
>> The Stereo
ร้านค้าเครื่องเสียง
>> Piyanas Electric
>> KS Sons Group
>> Conice (บ้านทวาทศิน)
>> อัศวโสภณ
>> munkonggadget.com
>> bkkaudio.com
 
ปรับขนาดตัวหนังสือ เช่น 15, 16, 18, 20, + + / ยกเลิกใส่ 0 :

หมวดหมู่ > บทความ > เครื่องเสียงบ้าน > เสียง HI RES ความฝันอันสูงสุด หรือ ความโง่ไร้ขีดจำกัด
วันที่ : 01/11/2015
13,036 views

เสียง ?HI RES? ความฝันอันสูงสุด หรือ ความโง่ไร้ขีดจำกัด

โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ

ระบบเสียงคุณภาพต่ำ (LOW FI) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวงการเครื่องเสียงไม่ว่าความถี่เสียงที่จำกัด(Bandwidth จำกัด) ทุ้มก็มีแต่ทุ้มต้นๆ ปราศจากทุ้มลึก เสียงสูงก็มีแต่ห้วนๆไปได้แค่แหลมตอนล่าง(เช่น 14 KHz -15 KHz) แถมบางช่วงความถี่ก็โด่ง บางช่วงก็วูบตกลง ไม่ราบรื่นตลอดตั้งแต่ความถี่ต่ำสุดถึงสูงสุด นอกจากนั้นการสวิงเสียงจากค่อยสุดไปดังสุด (เรียกว่า DYNAMIC RANGE) ก็แคบ ค่อยก็ค่อยมากไม่ได้จะถูกเสียงรบกวน (NOISE) ทั้งจากชุดเครื่องเสียงเองและจากระบบบันทึกลงตัวกลาง (ไล่ตั้งแต่เทปม้วนเปิด, เทปคาสเซท, แผ่นเสียง) ช่วงสวิงดังๆก็ไปไม่สุดเกิดอาการอั้น, ตื้อ ไม่โหมได้อย่างเต็มที่อิสระ การแยกสเตอริโอซ้ายและขวาก็แยกไม่ขาดเต็มที่ มีการรั่วของสัญญาณซ้ายและขวาเข้าหากัน ทำให้เวทีเสียงแคบมาก เกือบพูดว่าเป็นโมโนฟุ้งๆมากกว่าสเตอริโอ 3 มิติ?? มิติเสียงก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจหรือจะมีใครให้ความสำคัญอะไร ไม่ว่าเวทีเสียง ทรวดทรงเสียง ความกว้าง ? ลึก หรือสูง ? ต่ำ? พูดง่ายๆ ลองฟังเสียงจากสถานีวิทยุ ?AM ?มันก็ไม่ต่างจากนั้นเท่าไร

เวลาผ่านไป อุปกรณ์ชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ถูกปรับปรุงพัฒนาดียิ่งขึ้น ระบบบันทึกเสียงดีขึ้น ตัวกลางที่ใช้บันทึกและเล่นดีขึ้น (ก้าวเข้าสู่ระบบเทปม้วนเปิด, เทปคาสเซท ที่มีวงจรช่วยรักษาคุณภาพเสียง ไม่ว่า Dolby A , Dolby B , Dolby C , Dolby HX , dbx) มีการเข้าใจและพัฒนาวงจรภาคขยายที่ดีขึ้น, ตอบสนองได้ราบเรียบ , เสถียร ,ความเพี้ยนต่ำ ,สัญญาณรบกวนลดลง มีการค้นพบทรานซิสเตอร์คุณภาพสูงๆ ทั้งหมดช่วยให้เสียงที่นำมาฟังที่บ้านได้คุณภาพถึงระดับที่เรียกว่า ?HIFI ( คือสมจริง ) ถ้าเสียงธรรมชาติมีคะแนน 100 เต็ม? HIFI ก็น่าจะได้ถึง 85 % (LOW FI? ได้ 40 ? 60 %)

ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล การทำมาสเตอร์เทป,การปรับปรุงปรับแต่ง,ผสมเสียง,การบันทึก,ตัวกลางบันทึก (CD) ล้วนเป็นระบบดิจิตอลหมด (จากเดิมที่เป็นอนาลอค) โลกเครื่องเสียงได้เข้าสู่ยุค ?เสียงดิจิตอล? (DIGITAL SOUND) สเปคต่างๆทางด้านนี้ให้ตัวเลขที่สวยหรู อลังการอย่างไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้เช่น ความถี่ตอบสนอง 20 Hz ? 20 KHz โดยแทบไม่มีการขาดเกินใดๆเลยราบเรียบเป็นเส้นตรง การสวิงเสียงที่กว้างระดับ 80 ? 90 dB (จากยุค HIFI ได้แค่ 70 ? 75 dB)? สัญญาณรบกวนก็ต่ำมากถึงระดับ? -75 ถึง -80 dB ?การแยกสเตอริโอที่กว้างถึง 75 dB ขึ้นไปจากเดิมอย่างเก่งก็ 65 dB? ความเพี้ยนแทบพูดว่าวัดไม่ได้ ยุคนี้จึงได้รับการยอมรับและแพร่หลายอย่างรวดเร็วที่สุด กว้างที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครื่องเสียง? ยุคดิจิตอลเริงร่าอยู่ถึงร่วม 40 ปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ท่ามกลางการยอมรับของทุกๆฝ่ายหลังจากที่มันได้รับการปรับปรุงและวงการมีความเข้าใจและใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญมากพอเมื่อเทียบกับยุคแรกสุดของดิจิตอลวัดได้ด้วยอ้ลบั้มเพลงจากทั่วโลกที่อยู่ในรูปแผ่น CD (ดิจิตอล) นับล้านๆอัลบั้ม

ดูเหมือนว่าผู้ที่มีส่วนผลักดันความก้าวหน้าของวงการเครื่องเสียงเริ่มหยิ่งผยองพองขน พวกเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจระบบเสียงดิจิตอลได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผนวกกับผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงและผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เกี่ยวกับระบบเสียงดิจิตอลที่ ?กิน? ค่าหัวคิวลิขสิทธิ์จากทุกฝ่ายทั่วโลกอยู่ 2 ? 3 รายเริ่มตะหนักว่าเวลาแห่งการกินหัวคิวใกล้หมดแล้วทำอย่างไรจึงจะ ?สร้าง? เกมส์แบบเดิมเพื่อกินค่าหัวคิวลิขสิทธิ์ต่อไปอีก นั่นคือที่มาของการพยายามผลักดันระบบเสียงที่เรียกว่า รายละเอียดสูง หรือ HIGH DEFINITION SOUND (HD SOUND) โดยตั้งกติกาใหม่ไล่ตั้วแต่ขั้นตอนการบันทึกเสียงทำมาสเตอร์,เครื่องมือในการปรับแต่ง,???? ผสมเสียง ตัวกลางที่ใช้บันทึกมาฟังที่บ้านจนถึงเครื่องเสียงของผู้บริโภคที่บ้าน โดยพวกสร้างเกมส์กะกินตังค์หัวคิวลิขสิทธิ์และการขายเครื่องมืออาชีพและเครื่องเสียงที่ผู้บริโภคต้อง ? เปลี่ยน ?หรือหาใหม่ เป็นการคิดคบยิงทีเดียวได้นก 2 ตัวของ ผู้คุมเกมส์ ฟันกำไรจากผู้บริโภคเพราะหมดมุข ไม่รู้จะปั้นอะไรออกมาขายกันแล้ว (ที่จริงของที่มีอยู่เดิมก็ยังทำได้ไม่เต็มที่ แทนที่จะปรับปรุงพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นกลับพยายามล้มกระดานแล้วกำหนดเกมส์ใหม่) และเรียกยุคใหม่นี้ว่า HI-RES SOUND หรือ HIGH RESOLUTION SOUND หรือ HD SOUND

พวกเขาอวดอ้างว่าด้วย ? กติกาใหม่ ระบบใหม่ ? จะได้สเปคระดับเทพที่ไม่เคยมีใครแม้แต่จะกล้าคิดถึงมันคือ สเปคระดับอภิมหาเทพ เช่น

ความถี่ตอบสนองราบเรียบเป็นไม้บรรทัดจาก 0 Hz -100 KHz

การสวิงเสียงจากค่อยสุดไปดังสุดสูงถึง 120 dB

อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงกวน มากกว่า 90 dB ขึ้นไป

การแยกสเตอริโอ(ไม่ค่อยระบุถึง......ทำไม?? และจะค่อนข้างไม่แน่นอน)

ความเพี้ยน ต่ำมากๆเช่น 0.0001 % (แต่ไม่บอกว่ารูปแบบเป็นอย่างไร)?? คงจำกันได้ว่าก่อนหน้านี้ในยุคแรกสุดที่พวกผู้คุมเกมส์เปิดตัวระบบ CD ก็เคยพูดว่ามันคือสุดยอดของระบบเสียง ไม่มีอะไรสู้ได้ทำราวกับว่ามันคือ การสิ้นสุดของการแสวงหา ?สูงสุดแล้ว

แต่วันนี้พวกผู้คุมเกมส์พยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะเปิดแผลความไม่สมบูรณ์ของระบบเสียง ?CD และเสนอทางออกใหม่ด้วยระบบเสียง HIRES เหมือนกับว่ามันคือ นิพพานแห่งระบบเสียง

ผู้คุมเกมส์ แหย่ตลาดด้วยระบบบันทึกและแผ่น SACD (Super Audio CD) ที่ให้สเปคระดับอภิมหาเทพ ผู้คุมเกมส์บางรายทุ่มทุนอย่างหนักทั้งเงินทองและเวลาในการพยายามผลักดันให้ SACD เป็นที่ยอมรับของตลาดให้ได้เพราะถ้าสำเร็จมันคือเค้กก้อนใหญ่ ที่กินกันได้อีกเป็นสิบๆปี มาแทน ?CD ได้เลย

เกือบ 10 ปีผ่านไป SACD มีแต่ฝ่อลงๆจนปัจจุบันแทบไม่มีใครพูดถึงอีกแล้ว เพราะอะไร

ความล้มเหลวของ SACD เกิดจาก

  1. ตลาด(ผู้บริโภค)อิ่มตัวกับอัลบั้ม CD ที่มีนับล้านๆอัลบั้มแล้ว เป็นการยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ผู้บริโภคทั่วโลกที่มีแผ่น CD ในครอบครองนับพันล้านแผ่นยอมทิ้งอัลบั้ของพวกเขาที่สะสมมาตลอดร่วม 40 ปีแล้วนับหนึ่งใหม่ สะสมใหม่ด้วยแผ่น SACD? พวกเขาลงทุนไปมากเกินกว่าที่จะทำใจทิ้งมันให้เป็นกองขยะไร้ค่า (ผู้เขียนเองลงทุนกับแผ่น CDไป 4 ? 5 แสนบาทตลอดเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา)
  2. อัลบั้ม SACD ก็ยังมีน้อยมากๆ เชื่อว่าทั่วโลกน่าจะไม่เกิน 300 ? 400 อัลบั้ม(นี่คิดแบบเผื่อมากแล้ว) ขณะที่อัลบั้ม CD มีเป็นล้านๆอัลบั้ม มันเทียบกันไม่ได้เลย
  3. เครื่องเล่น SACD ถ้าจะเก็บเกี่ยวคุณภาพ SACD ให้เต็มที่สุดๆสมกับระบบ? HIRES ของมัน จะต้องทำอย่างสุดพิถีพิถันและราคาระดับเกิน 100,000 บาทขึ้นไป (เป็นเรื่องตลกร้ายที่ผู้ผลิต? CD/SACD บางรายทำน่าเกียจมาก จงใจลดทอนคุณภาพเสียง CD ลง (อัลบั้มเพลงเดียวกันแต่คนละเทคโนโลยี่เช่นเป็นแผ่น Hybrid SACD แบบ 2 ผิว ผิวหนึ่งCD อีกผิว SACD เพื่อหลอกหูว่า SACD เสียงดีกว่า) ราคาของเครื่องที่เกิน 100,000 บาทเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบูมตลาดได้
  4. อัลบั้มเพลงเดียวกันเมื่อฟังจาก ?SACD เทียบกับ ?CD ?โอเค SACD อาจให้เสียงที่ละเอียด,คมชัด,หยุมหยิม น่าตื่นเต้นกว่า CD (ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนี้) แต่ความแตกต่างก็ไม่ได้มากมายอะไรจนต้องเสียเงิน 1500 บาทกับแผ่น SACD แทนที่จะเสียแค่ 390 บาทกับ CD ในอัลบั้มเดียวกัน และบ่อยๆที่ฟังๆไปเสียงจาก SACD ?ฟังแล้วเหนื่อย,ล้าหู,ไม่ผ่อนคลาย ที่สำคัญเหมือนๆกันไปหมด นักร้องกี่คนๆร้องเสียงคล้ายกันหมด (โดยเฉพาะเสียงร้องผู้หญิง), เสียงผอมบาง, บางครั้งแบน ขาดบุคคลิกส่วนตัวของใครของมัน เปียโน 6 ล้านบาทเสียงแทบไม่ต่างจากเปียโน 7 แสนบาท

    เป็นเรื่องตลกเศร้า อัลบั้มเพลงเดียวกันเดิมฟังจาก ?CD ก็โอเครับได้ พอฟังจาก SACD ก็รู้ข้อบกพร่องของ? CD? เท่าๆกับที่รับไม่ได้กับเสียงเกินจริงของ SACD? สุดท้ายเลิกฟังทั้ง CD และ SACD ของอัลบั้มนั้น
  5. ผู้ต้นคิดระบบ ?SACD? และนายทุนผู้คุมเกมส์ ฟังไม่เป็น(ขอเน้น)พวกเขาไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่า เสียงธรรมชาติเป็นอย่างไรหรือควรจะเป็นอย่างไร พวกเขาไว้ใจและเชื่อมั่นแต่ ?เครื่องมือวัด?และกติกาการวัดสเปคเก่าๆเดิมๆที่วงการเครื่องเสียงใช้และยึดถือกันมาเกือบ 100 ปี ไม่เคยมีการนำสภาวะแวดล้อม,เงื่อนไขของทั้งภายในเครื่องเองและภายนอกเครื่องมาคำนึงถึง แม้แต่องค์ประกอบของการรับรู้ของสมองมนุษย์ที่อยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในขณะนั่งฟัง ขณะนั่งบันทึกทำมาสเตอร์เทป พวกวิศวกรทางอีเล็คโทรนิกส์สมควรจะต้องเพิ่มกติกาดารวัดทดสอบที่หลากหลายมิติ ครอบคลุมและนำสภาพแวดล้อมมาพิจารณาด้วยรวมทั้งการประกอบและผลิตจริงๆ

    ในอดีตเมื่อ 70 ปีมาแล้วภายใต้สภาวะแวดล้อมที่สะอาดหมดจด ไม่มีหลากคลื่นความถี่สูง(EMC,RF )ที่เกิดจากสารพัดอุปกรณ์สื่อสาร,เครือข่ายสื่อสาร,เสา CELL SITEมือถือบนตึก,อุปกรณ์เชื่อมต่อ,คอมพิวเตอร์,สารพัดรีโมทไร้สาย,จอ LCD/PLASMA,มิเตอร์ไฟอัจฉริยะ,นาฬิกาควอตซ์,Tablet,โทรศัพท์มือถือ,สถานีวิทยุนับร้อยๆคลื่น,สถานีโทรทัศน์เป็นสิบๆ,การสื่อสารผ่านสายไฟบ้าน( PLC,POWER LINE COMMUNICATION),ระบบเชื่อมต่อWIFI,WIMAX, BLUTOOTH,ฯลฯ) ทั้งหมดคือ ตัวป่วนหรือขยะที่ส่งผลร้ายแรงต่อเครื่องเสียง(และสมองมนุษย์)อย่างสาหัสที่สุด ซึ่งการกำหนดกติกาการวัดสเปคจะต้องมาตั้งหลักกันใหม่และคิดทุกแง่ของตัวเร้าเหล่านี้เพื่อแปลง ?ผลการฟังที่เลวร้าย?ออกมาเป็นผลการวัดที่ฟ้องด้วยตัวเลข,กราฟได้ เพื่อให้การวัด(Objective)สอดรับกับการฟัง(Subjective)

    ที่แย่ที่สุดคือระบบเสียงยิ่ง HIRES เท่าไรยิ่งอ่อนไหวต่อ ?ขยะ?เหล่านี้มากแค่นั้น ขณะที่ระบบอนาลอคในยุค HIFI ก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยอ่อนไหวมากนักรวมทั้งการใช้อุปกรณ์ IC ที่ย่อขนาดลงเรื่อยๆยิ่งถูกป่วนจาก ?ขยะ? ได้ง่ายขึ้น
  6. เครื่องเล่น CD/SACD ระดับไฮเอนด์ทั้งวงการดีขึ้นเรื่อยๆ(เช่นDAC)มีการ UP SAMPLING ความถี่ ทำให้เสียงจาก? CD มีความใกล้เคียงละม้ายเสียงจาก? SACD มากขึ้นทำให้ผู้บริโภคไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องลงทุนกับแผ่น? SACD แพงๆอีกยิ่งทำให้แทบไม่มีใครจะผลิตแผ่น? SACD ออกมา พูดง่ายๆสำหรับ ?SACD มันจบไปแล้ว
  7. แน่นอน ปัญหาของการฟัง ?HIRES จากแผ่น? SACD ย่อมเกิดกับการดาวน์โหลดเพลง? HIRES จากเวปไซค์ต่างๆเช่นกันเพราะทำงานในรูปดิจิตอลและความถี่สูงอย่างยิ่งเหมือนๆกัน จึงไม่ต้องคาดหวังเลยว่าเสียงจะไม่ออกมาอุบาตว์หูเหมือนๆกัน
  8. ตามเวปไซค์ต่างๆที่เปิดให้บริการดาวน์โหลดเสียง ?HIRES ?เองก็ใช้การบันทึกเก็บไว้ในเซิฟเว่อร์( SERVER)ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่มีทางหลีกพ้นปัญหา ?ขยะ?ดังกล่าวแล้วและที่นึกกันไม่ถึงก็คือ มาสเตอร์ทั้งหลายที่บันทึกกันแบบ ?HIRES ก็ต้องผจญกับ ?ขยะ? ในขั้นตอนการบันทึกอยู่แล้ว มันเละตั้งแต่ต้นน้ำแล้วถ้ายังไม่มีใครให้ความสำคัญกับปัญหา ?ขยะ?ดังกล่าว(ไม่เคยได้ข่าวว่าจะมีผู้ทำอัลบั้มใดสนใจ ใส่ใจ เข้าใจปัญหา ?ขยะ?นี้ตอนทำการบันทึกจากดนตรีสดเลย) ขั้นตอนของความเลวร้ายแรกแจงได้ดังนี้

???????????????????? แม่เทปหรือมาสเตอร์เละด้วยขยะขณะทำการบันทึกเสียง(เละขั้นที่ 1)

???????????????????? ตอนตัดต่อ MIX เสียงก็เละด้วยขยะ? เป็นขั้นที่ 2

???????????????????? ตอนบันทึกเก็บลงเซิฟเวอร์ก็เละด้วยขยะอีก? เป็นขั้นที่ 3

???????????????????? ผ่านระบบออนไลน์อินเตอร์เน็ตก็เละด้วยขยะอีก? เป็นขั้นที่ 4

???????????????????? เครื่องดึง ? เล่น ? เก็บ ที่บ้านก้เละด้วยขยะอีก? เป็นขั้นที่ 5

????????????? สรุปคือเละตั้งแต่ต้นจนเปิดฟังผ่านระบบเสียงที่บ้านถึง 5 ขั้นตอนจึงถามว่า แล้วมันจะเหลืออะไรให้ฟังนอกจากระบบเสียง ?HIRES? ที่บิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน ไร้อารมณ์ ผู้เขียนมีโอกาสฟังการสาธิตระบบเสียง? HIRES? ที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตนับสิบครั้งทั้งจากเครื่องเสียงระดับไฮไฟ ปานกลาง ถึงระดับเฉพาะเครื่องเล่น ? ดึง ? เก็บ (เซิฟเวอร์) ราคาล้านกว่าบาท(รวมทั้งชุดที่ฟัง 20 กว่าล้านบาท) เสียงก็ยังไม่น่าประทับใจ(แบน,ไร้ทรวดทรง,ฮาร์โมนิกส์มาไม่ครบ,เสียงคล้ายๆกันไปหมด,ชัดรายละเอียดดีแต่เหมือนของเก๊ไม่ใช่ของจริง เหมือนหุ่นยนต์เล่นดนตรี, ตอบสนองฉับไวแต่ขาดความผ่อนคลาย ไร้อารมณ์ ไม่น่าสนใจ ไม่มีเสน่ห์

เอาล่ะ สมมุติมีการทำมาสเตอร์หรือแผ่น ?SACD หรือดาวน์โหลดจากเว็ปไซค์ออกมาอย่างรู้งานทุกขั้นตอนจนปัญหาเรื่อง ?ขยะ?แทบไม่มีเลย เอาว่าเสียงดีเลิศ สมจริงไม่มีที่ติ ปัญหาก็เกิดอีก

จะมีเครื่องเสียงอะไรที่จะสามารถรองรับ ถ่ายทอด สเปคระดับซูเปอร์อย่างนั้นได้ จะมีลำโพงอะไรตอบสนองความถี่ได้ 0 Hz ? 100 KHz อาจจะใกล้เคียงเช่น 18 Hz ? 100 KHz แต่ราคาคู่หนึ่งเกือบ 10 ล้านบาท!

?จะมีภาคขยาย (แอมป์) สักกี่เครื่องในโลก ที่รองรับการสวิงเสียงได้ระดับเกิน 100 dB (Dynamic Range ) เพราะนั่นหมายความว่าช่วงค่อยสุดอาจต้องการกำลังขับแค่ 0.01 วัตต์ ขณะที่ช่วงดังสุดอาจต้องการกำลังขับถึงหรือมากกว่า 10,000 วัตต์แล้วจะยังลำโพงอีก จะมีคู่ไหนที่รับกำลังขับขนาดมโหฬารอย่างนี้ได้? ทั้ง 2 อย่างนี้ในโลกนี้ยังไม่มี ยังไม่ต้องพูดถึงสนนราคา

แค่ตรงนี้ก็จบแล้ว ถามว่าถ้าเปิดค่อยมากๆ ล่ะ มันก็ได้อยู่แต่เสียงที่ค่อยๆ ก็จะจมหายไม่มีวันได้ยิน เสียงที่สวิงดังก็จะทำให้ภาคขยายและลำโพงเพี้ยนหมด (อย่างน้อยก็ยอดคลื่นหัวขาดหรือ clip)

ยังไม่พูดถึงเสียงที่จะดังดุจการแสดงสด คุณคิดว่าข้างบ้าน,ข้างห้องเขาจะทนหนวกหูได้หรือ คุณมิต้องทำห้องฟังใต้ดินขนาดมหึมาหรือ (เพื่อรองรับความยาวคลื่นของความถี่ต่ำกว่า 20 Hz ให้ได้และจะไม่มีปัญหาการหักล้างทางเฟส จนหูเกิดอาการหึ่งๆอื้อซ้ายทีขวาทีหรือ)

สรุป จากปัญหาเหล่านี้จะเห็นได้ว่ามันเกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะมีปัญญา มีเงินมากพอหรือบ้าพอที่จะจำลองระบบเสียง HIRES มาฟังที่บ้านได้

ผู้เขียนคงไม่กล้าคิดหรือยกย่องว่าการพยายามผลักดันระบบเสียง ?SACD หรือ HIRES คือความก้าวหน้าของการฟังเพลงในประวัติศาสตร์ของวงการไฮ-ไฟ มันไม่ได้เป็นอะไรอื่นเลยนอกจาก ความโง่,ไร้สาระ,แหกตาประชาชนเพื่อสนองฝ่ายการตลาดเท่านั้นเอง

มีความเป็นไปได้ประการเดียวที่จะฟังเสียง ?HIRES? ได้จริงคือฟังจากหูฟัง? เนื่องจากการฟังด้วยหูฟัง เครื่องเสียงทั้งหมดนับตั้งแต่ภาคขยายถึงตัวกำเนิดเสียงจะถูกย่อส่วนทำให้สามารถออกแบบและผลิต ?ภาคขยายเสียง?ที่มีกำลังวัตต์มากพอที่จะรองรับการสวิงของสัญญาณไฟฟ้าได้จากกำลังขับ 0.0001 วัตต์(เนื่องจากตัวหูฟังกินกำลังขับต่ำและการฟังเสียงก็พุ่งเข้าสู่เยื่อแก้วหูโดยตรงและใกล้สุด จึงไม่ต้องเปิดดังมากเลย เปิดเบามากๆก็ได้ยินแล้ว) ถึง 100 วัตต์? ซึ่งภาคขยายขนาดนี้มีความเป็นไปได้ทั้งเชิงพาณิชย์และการออกแบบผลิต ขณะที่ตัวหูฟังก็อาจทำให้มีความไวสูงมากๆเช่นให้ความดังถึง 105 dB เมื่อป้อนกำลังขับแค่ 1 วัตต์และก็สามารถรับกำลังขับถึง 120 dB ได้ โดยราคาตัวหูฟังไม่ทะลุโลกมากอาจอยู่ในช่วง 3 ? 5 หมื่นบาท(หรือถูกกว่า) เพาะฉะนั้น ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทคุณมีสิทธ์ฟังระบบเสียงHIRESได้แบบอภิมหาสเปค แต่ก็อย่างว่าจะหาแผ่น ?HIRES ดีๆก็ยากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทร ต้องลงทุนกับเครื่องเล่น CD/SACD ระดับ 100,000 บาทขึ้นไป ครั้นจะฟังจากการดาวน์โหลดก็เจอ 5 ปัญหามากันครบ? สรุป? ลืมเสียเถอะเรื่อง HIRES SOUND!

www.maitreeav.com

www.maitreeav.com
สำนักงาน : 313/129 ซ. เคหะร่มเกล้า 64 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
โทร. 081-5500269 , 099-569-6459